โครงการพัฒนาที่ดิน อุตสาหกรรมเมืองนนทบุรี โดย D HOUSE GROUP เชิญมาชมที่โครงการ อุตสากรรมเมืองนนทบุรี
วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2567
D-HOUSE GROUP วิเคราะห์อุตสาหกรรม ปี 2567-2569: ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง
. D-HOUSE GROUP
. D-HOUSE GROUP
อุตสาหกรรม ปี 2567-2569: ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง
12 มีนาคม 2567
Executive Summary
ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างปี 2567-2569 มีแนวโน้มเติบโตตามมูลค่าการลงทุนก่อสร้างโดยรวมที่คาดว่าจะขยายตัว 3.0-4.0% ต่อปี โดยมูลค่าก่อสร้างภาครัฐจะขยายตัว 3.5-4.0% ต่อปี ด้วยปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญ ได้แก่ การลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridors: EEC) ภายใต้การเร่งดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย พ.ศ. 2566-2570 ขณะที่มูลค่าการลงทุนก่อสร้างภาคเอกชนทั้งที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ มีแนวโน้มทยอยฟื้นตัว โดยจะขยายตัว 3.0-3.5% ตามกำลังซื้อที่น่าจะปรับตัวดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่คืบหน้ามากขึ้น โดยปัจจัยที่อาจจำกัดการเติบโตส่วนใหญ่มาจากต้นทุนก่อสร้างทั้งวัสดุก่อสร้างและค่าแรง รวมถึงค่าขนส่งที่จะยังทรงตัวสูงตามทิศทางราคาพลังงาน ขณะที่ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Climate change and the race to Net Zero) จะเป็นปัจจัยท้าทายให้ผู้ประกอบการฯ ต้องเร่งปรับตัวในการลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อลดการใช้วัสดุก่อสร้างที่สิ้นเปลือง
มุมมองวิจัยกรุงศรี
ในปี 2567-2569 รายได้ของกลุ่มผู้รับเหมาที่เน้นโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องตามการลงทุนก่อสร้างภาครัฐ ขณะที่รายได้ของกลุ่มที่เน้นโครงการภาคเอกชนจะทยอยปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
• ผู้รับเหมางานก่อสร้างรายใหญ่ คาดว่ารายได้จะขยายตัวต่อเนื่องตามการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความพร้อมในการประมูลรับงานและมีศักยภาพในการบริหารงานก่อสร้างขนาดใหญ่ ทั้งโครงการลงทุนต่อเนื่องของภาครัฐ อาทิ รถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ มอเตอร์เวย์ และโครงข่ายคมนาคมขนาดใหญ่ (Megaprojects) ที่เชื่อมโยงกับพื้นที่ EEC รวมทั้งโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานในพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศที่ยังมีการดำเนินงานต่อเนื่อง ตลอดจนงานก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาคเอกชน ทั้งด้านที่อยู่อาศัย กลุ่มอาคารสูง และอาคารขนาดใหญ่ ทำให้มีแนวโน้มที่ปริมาณงานที่รอดำเนินการ (Backlog) จะยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
• ผู้รับเหมางานก่อสร้างรายกลาง-เล็ก (SMEs) รายได้มีแนวโน้มทรงตัวในปี2567 และจะทยอยฟื้นตัวในปี 2568-2569 โดยได้แรงหนุนจากภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ทยอยฟื้นตัว โดยเฉพาะรายกลางที่มีโอกาสรับงานจากรายใหญ่เพิ่มขึ้น ท่ามกลางปัจจัยที่ยังเหนี่ยวรั้งผลประกอบการจากต้นทุนดำเนินงาน และการขาดแคลนแรงงาน ที่อาจส่งผลให้ผู้รับเหมากลุ่มนี้ยังมีความเสี่ยงด้านปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน
ข้อมูลพื้นฐาน
ในช่วงปี 2557-2566 มูลค่าการลงทุนก่อสร้างโดยรวมมีสัดส่วนเฉลี่ย 8.0% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) (ภาพที่ 1) ส่วนใหญ่เป็นงานก่อสร้างในประเทศ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามลักษณะผู้ว่าจ้าง ได้แก่ งานภาครัฐและเอกชน โดยมีสัดส่วนของมูลค่าการลงทุนก่อสร้างอยู่ที่ 57:43 ในปี 2566 (ภาพที่ 2) ทั้งนี้ ผลจากวิกฤต COVID-19 ในช่วงปี 2563-2565 มีส่วนทำให้มูลค่าการลงทุนก่อสร้างโดยรวมเติบโตในอัตราชะลอลงตามมูลค่าการลงทุนก่อสร้างภาคเอกชนที่ลดลงเทียบกับปี 2562 ขณะที่มูลค่าการลงทุนก่อสร้างภาครัฐยังขยายตัวได้ (ตารางที่ 1) ส่วนหนึ่งเป็นผลจากภาครัฐยังคงเร่งลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง (แม้มีหลายโครงการยังล่าช้ากว่าแผนงาน) เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจและดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ
• งานก่อสร้างภาครัฐ: ส่วนใหญ่เป็นโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน คิดเป็นสัดส่วน 81% ของมูลค่าก่อสร้างภาครัฐทั้งหมดในปี 2566 ที่เหลือเป็นโครงการก่อสร้างอาคารของหน่วยงานรัฐ (17%) และที่พักของข้าราชการ (2%) ผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่มักได้เปรียบในการรับงานภาครัฐ โดยเฉพาะงานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เนื่องจากมีทั้งประสบการณ์ ความชำนาญเฉพาะด้าน ศักยภาพทางการเงิน และการพัฒนาเทคนิคและเทคโนโลยีในงานก่อสร้างมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนผู้รับเหมา SMEs จะมีโอกาสรับงานภาครัฐในลักษณะของผู้รับเหมาช่วง (Sub-contractors)
• งานก่อสร้างภาคเอกชน: ส่วนใหญ่เป็นงานก่อสร้างที่อยู่อาศัย คิดเป็นสัดส่วน 52% ของมูลค่าก่อสร้างภาคเอกชนทั้งหมด ที่เหลือเป็นงานก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม และอาคารพาณิชยกรรม เช่น ศูนย์การค้า โรงแรม และโรงพยาบาล เป็นต้น ทิศทางงานก่อสร้างภาคเอกชนขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นในการลงทุน เสถียรภาพการเมือง การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และนโยบายกระตุ้นการลงทุนของภาครัฐ
ที่ผ่านมา ผู้รับเหมาของไทยได้ขยายฐานลูกค้าโดยออกไปรับงานต่างประเทศ (ส่วนมากเป็นผู้รับเหมารายใหญ่) โดยเน้นกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เนื่องจากประเทศเหล่านี้อยู่ในช่วงของการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น โครงข่ายถนน รถไฟ โรงไฟฟ้า รวมถึงงานก่อสร้าง ซ่อมแซม/ตกแต่ง อาคารและที่อยู่อาศัย
ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลในไทยและที่ยังดำเนินการอยู่ มีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 108,000 ราย (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ปี 2565) ผู้ประกอบการรายใหญ่มีจำนวนเพียง 709 ราย หรือสัดส่วนเพียง 0.7% ของจำนวนผู้ประกอบการทั้งหมด อย่างไรก็ตาม รายได้ของผู้ประกอบการรายใหญ่มีสัดส่วนสูงประมาณ 55% ของผู้ประกอบการทั้งหมด โดยผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ที่มีรายได้มากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.อิตาเลียนไทย ดิเวลอปเมนต์ บมจ. ชิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น และ บมจ.ช.การช่าง มีส่วนแบ่งรายได้รวมกัน 67% ของ 12 บริษัทรับเหมาก่อสร้างที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์2/ (ภาพที่ 3, ข้อมูลปี 2565) และ 17% ของกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ทั้งหมด
ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่มีผลในการกำหนดทิศทางภาวะธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ประกอบด้วยปัจจัยทั้งด้านตลาดและต้นทุน
1) ด้านตลาด: หมายถึงโอกาสการรับรู้รายได้ของผู้ประกอบการซึ่งผันแปรตามภาวะเศรษฐกิจ การเมือง แผนและความก้าวหน้าของการลงทุนในโครงการของภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงกฎระเบียบการลงทุนของแต่ละประเทศที่อาจเอื้อหรือเป็นอุปสรรคต่อธุรกิจ
2) ด้านต้นทุน: หมายถึงการเปลี่ยนแปลงของราคาวัสดุก่อสร้างและค่าจ้างแรงงาน โดยปัจจุบันธุรกิจก่อสร้างไทยประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงาน รวมทั้งทักษะที่ยังไม่เพียงพอ ส่งผลให้ผลิตภาพแรงงานส่วนใหญ่ยังต่ำกว่าค่าจ้าง ซึ่งมีผลต่อความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ โดยโครงสร้างต้นทุนของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ประกอบด้วย (1) ค่าวัสดุก่อสร้าง ได้แก่ เหล็ก คอนกรีต ปูนซีเมนต์ และอื่นๆ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60% ของต้นทุนรวม (2) ค่าจ้างแรงงาน 20% และ (3) ค่าใช้จ่ายอื่นๆ 20%3/ (ภาพที่ 4)
• การปรับตัวของผู้รับเหมาก่อสร้างในช่วงที่ผ่านมา
o รายใหญ่ อาศัยความได้เปรียบจากการมีอำนาจการต่อรองสูงกับผู้ผลิต/ผู้ค้าวัสดุก่อสร้างในการบริหารต้นทุนด้านวัตถุดิบ รวมทั้งการหาช่องทางธุรกิจต่อเนื่องจากการรับเหมาก่อสร้างเพื่อรักษาฐานรายได้และกำไร เช่น การบริหารจัดการระบบรถไฟฟ้า ส่วนด้านการลงทุนจะเน้นเพิ่มการลงทุนด้านเครื่องจักรที่มีเทคโนโลยีมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะขาดแคลนแรงงาน ลดระยะเวลาก่อสร้าง และแก้ไขข้อผิดพลาดระหว่างการก่อสร้าง อาทิ BIM (Building Information Modeling) Prefabs (Prefabricated Building Components)
o รายกลางและรายเล็ก ส่วนใหญ่เป็นการบริหารงานแบบครอบครัว มีเงินทุนจำกัด จึงมีอำนาจการต่อรองต่ำกว่า โดยจะรับเหมาช่วงจากผู้รับเหมารายใหญ่ โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ รวมถึงมองหาช่องทางเพิ่มรายได้จากงานซ่อมแซมและปรับปรุงอาคาร
สถานการณ์ที่ผ่านมา
ปี 2566 ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอยู่ในภาวะทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2565 พิจารณาจากมูลค่าการลงทุนภาคก่อสร้างโดยรวมที่เพิ่มขึ้น 0.4% คิดเป็นมูลค่า 1,373.7 พันล้านบาท เทียบปี 2565 ที่ขยายตัว 0.5% คิดเป็นมูลค่า 1,368.6 พันล้านบาท (ภาพที่ 5) ปัจจัยหนุนมาจากทั้งมูลค่าการก่อสร้างภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นตามแรงขับเคลื่อนของการก่อสร้างหมวดโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารพาณิชย์ ขณะที่มูลค่าก่อสร้างภาครัฐหดตัวตามความล่าช้าของโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ และยังไม่มีโครงการขนาดใหญ่ที่เริ่มก่อสร้างใหม่ในช่วงนี้ ส่วนหนึ่งจากผลของปัจจัยการเมืองในช่วงรอกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่
• งานก่อสร้างภาครัฐปี 2566 มีมูลค่า 784.3 พันล้านบาท หดตัว -2.2% (ภาพที่ 6) ตามการหดตัวของการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน
o งานก่อสร้างด้านโครงสร้างพื้นฐาน (สัดส่วน 81% ของมูลค่าการก่อสร้างภาครัฐทั้งหมด) มีมูลค่าการลงทุนก่อสร้าง 633.4 พันล้านบาท หดตัว -3.6% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความล่าช้าของกระบวนการก่อสร้างตั้งแต่การเบิกจ่ายงบประมาณจนถึงระยะเวลาการก่อสร้าง โดยเฉพาะไตรมาส 4 ที่หดตัวถึง -22.0% (เทียบกับไตรมาส 4 ปี 2565 ที่ขยายตัว 10.3%) โดยโครงการลงทุนก่อสร้างสำคัญที่ยังขยายตัวได้ในช่วงปีที่ผ่านมา มาจากโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่กำลังลงทุนก่อสร้างต่อเนื่อง อาทิ รถไฟฟ้าสายต่างๆ เช่น (1) โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ความคืบหน้า 98.9% (2) โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช-เมืองทองธานี ความคืบหน้า 44.6% (ข้อมูล ณ มกราคม 2567) และ (3) สายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ความคืบหน้า 24.6% (ข้อมูล ณ ธันวาคม 2566) รวมถึงโครงการเมะโปรเจกต์ในพื้นที่ EEC อาทิ (1) โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด เฟส 3 ความคืบหน้าในการก่อสร้าง 73.0% (ข้อมูล ณ ธันวาคม 2566) (2) โครงการท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 ซึ่งได้ส่งมอบพื้นที่ถมทะเลบางส่วนไปแล้วเมื่อ 1 ตุลาคม 2566 และคาดว่าจะส่งมอบพื้นที่ถมทะเลส่วนที่เหลือได้ในเดือนมิถุนายน 2567 โดยมีกำหนดแล้วเสร็จเดือนมิถุนายน 2569
o งานก่อสร้างประเภทอื่นๆ ได้แก่ การก่อสร้างอาคารสำนักงานของหน่วยงานภาครัฐ มีมูลค่าการลงทุนก่อสร้าง 132.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.2% (เทียบกับปี 2565 ที่หดตัว -3.8%) เนื่องจากกลุ่มผู้รับเหมาขนาดกลาง-เล็ก (SMEs) หลายรายประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงินและขาดแคลนแรงงานจำนวนมากในช่วงที่ COVID-19 ยังคงระบาดหนัก ส่วนอาคารที่อยู่อาศัยสำหรับพนักงานองค์กรของรัฐมีมูลค่าการลงทุนก่อสร้าง 18.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.6% (เทียบกับปี 2565 ที่เพิ่มขึ้น 18.1%) หลังจากที่ต้นทุนด้านวัสดุก่อสร้างเริ่มทยอยปรับลดลงต่อเนื่อง เทียบกับที่ปรับสูงขึ้นในช่วงปี 2564-2565 (ภาพที่ 9-10)
• งานก่อสร้างภาคเอกชนปี 2566 มีมูลค่า 589.4 พันล้านบาท ขยายตัว 3.9% (ภาพที่ 7) แรงขับเคลื่อนส่วนใหญ่มาจากโครงการก่อสร้างโรงงานและอาคารพาณิชย์
o งานก่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัย (สัดส่วน 52% ของมูลค่าการก่อสร้างภาคเอกชนทั้งหมด) มูลค่าการลงทุนก่อสร้าง 306.5 พันล้านบาท แม้ขยายตัว 3.1% ตามทิศทางกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้น แต่เป็นอัตราการเพิ่มขึ้นที่ชะลอตัวลงจากปี 2565 ที่เพิ่มขึ้น 5.6% สอดคล้องกับจำนวนโครงการที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ทั่วประเทศช่วง 9เดือนแรกปี 2566 ที่ลดลง -5.8% YoY โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และ 4 จังหวัดหลักภูมิภาค (เชียงใหม่ ชลบุรี ขอนแก่น และภูเก็ต) ที่ลดลง -7.4% YoY (ภาพที่ 😎 เนื่องจาก (1) กำลังซื้อผู้บริโภคโดยรวมยังซบเซา ภายใต้แรงกดดันของอัตราเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่ยังสูง (2) สถาบันการเงินระมัดระวังการให้สินเชื่อมากขึ้น ขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น และ (3) การขาดแคลนแรงงานก่อสร้าง ส่งผลกระทบต่อบางโครงการโดยเฉพาะโครงการที่อยู่ในความรับผิดชอบของผู้รับเหมาก่อสร้างรายกลาง-เล็ก (SMEs)
o งานก่อสร้างโครงการที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัย ประกอบด้วย โครงการก่อสร้างหมวดอาคารเพื่อการพาณิชย์ การก่อสร้างในหมวดการบริการและขนส่ง และการก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม โดยมีมูลค่าการลงทุนก่อสร้าง 282.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.9% ส่วนหนึ่งเป็นแรงหนุนจากขยายตัวของการลงทุนก่อสร้างโรงงาน และอาคารสำนักงานในนิคมอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ EEC ตามการลงทุนที่ทยอยฟื้นตัว
• ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างปี 2566 เพิ่มขึ้นเพียง 0.1% เทียบกับที่เพิ่มขึ้น 5.8% ในปี 2565 ตามดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก (สัดส่วน 23% ของมูลค่าต้นทุนวัสดุก่อสร้างทั้งหมด) ที่ลดลง -3.6% (ภาพที่ 9) โดยเป็นการลดลงของราคาเหล็กก่อสร้างบางประเภท อาทิ เหล็กเส้นกลม เหล็กข้ออ้อย และเหล็กโครงสร้างรูปพรรณตัวซี (Channel) (ภาพที่ 10) เนื่องจากปัญหาวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ของจีน ทำให้จีนต้องระบายสินค้าเหล็กส่งออกมากขึ้นโดยเฉพาะตลาดอาเซียน ขณะที่ดัชนีราคาปูนซีเมนต์ (สัดส่วน 13%) ปรับเพิ่มขึ้น 1.9% ตามความต้องการใช้ในภาคก่อสร้างทั้งภาครัฐและเอกชนที่ขยายตัว ขณะที่ดัชนีราคาผลิตภัณฑ์คอนกรีตเพิ่มขึ้น (+1.4%) ตามราคาวัตถุดิบ อาทิ ทราย และปูนซีเมนต์ ที่ยังปรับสูงขึ้น
• รายได้ของผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (12 รายแรกที่มีรายได้สูงสุด) ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2566 เพิ่มขึ้น 7.3% YoY ตามการฟื้นตัวของภาวะการก่อสร้าง ขณะที่อัตรากำไรสุทธิ (Net profit margin) ยังไม่สูงนักเพียง 0.5% (ซึ่งปรับตัวดีขึ้นเทียบกับ -1.8% ในช่วงเดียวกันปี 2565 ที่ยังได้รับผลกระทบจากความล่าช้าของงานก่อสร้างอันเนื่องมาจากปัจจัย COVID-19 และแรงงานขาดแคลน) โดยอัตรากำไรสุทธิที่ยังค่อนข้างทรงตัวดังกล่าว ส่วนหนึ่งเป็นผลจากต้นทุนการดำเนินที่ยังคงสูง อาทิ ค่าวัสดุก่อสร้าง และค่าขนส่ง (ภาพที่ 11)
แนวโน้มอุตสาหกรรม
ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมีแนวโน้มจะเติบโตต่อเนื่องในช่วงปี 2567-2569 ตามมูลค่าการลงทุนก่อสร้างโดยรวมที่คาดว่าจะขยายตัว โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับ EEC และโครงการขยายเส้นทางการคมนาคมขนส่ง โดยเฉพาะทางรางและถนน รวมถึงการลงทุนโครงการก่อสร้างภาคเอกชน ทั้งในส่วนที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ที่มีแนวโน้มทยอยฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ คาดว่ามูลค่าการลงทุนก่อสร้างโดยรวมจะขยายตัวได้ในอัตรา 3.0-4.0% ต่อปี (ภาพที่ 12) โดยยังมีปัจจัยเหนี่ยวรั้งที่อาจจำกัดการเติบโตของมูลค่าการลงทุนก่อสร้าง อาทิ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่น่าจะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ต้นทุนก่อสร้างที่ยังสูงตามทิศทางราคาพลังงาน ค่าขนส่ง และวัสดุก่อสร้าง
• มูลค่าการลงทุนก่อสร้างภาครัฐ ในช่วงปี 2567-2569 คาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ย 3.5-4.0% ต่อปี ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญมาจากการเร่งรัดดำเนินงานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย พ.ศ. 2566 - 2570 ในส่วนของกระทรวงคมนาคม ซึ่งประกอบด้วยโครงการลงทุนทั้งหมด 77 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 337.8 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม ปัจจัยด้านการเมืองจากความล่าช้าในการอนุมัติงบประมาณปี 2567 ซึ่งคาดว่าจะประกาศใช้ได้ภายในเดือนพฤษภาคม 2567 (ผู้จัดการรายวัน 11 มกราคม 2567) อาจมีผลให้การลงทุนตามโครงการก่อสร้างภาครัฐโดยรวมยังคงทำได้ล่าช้าในปี 2567 ก่อนที่จะเร่งตัวในปี 2568 เป็นต้นไป
o โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงกับพื้นที่ EEC ตามแผนปฏิบัติการโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2566-2570 คาดว่าการลงทุนก่อสร้างรอบใหม่ตามแผนน่าจะเร่งตัวชัดขึ้นในปี 2568 หลังกระบวนการอนุมัติงบประมาณแผ่นดินภายใต้รัฐบาลชุดใหม่แล้วเสร็จ จากช่วงที่ผ่านมา โครงการเกี่ยวเนื่องกับ EEC ส่วนใหญ่ยังล่าช้ากว่าแผน โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน อาจลงทุนก่อสร้างไม่ทันในรอบปี 2567 เนื่องจากโครงการนี้อาจต้องผ่านกระบวนการสรรหาผู้ลงทุนรับเหมาก่อสร้างเพื่อทำสัญญาว่าจ้างรอบใหม่ หลังจากสัญญาเดิมหมดอายุ โดยโครงการที่มีความคืบหน้าด้านการลงทุนและดำเนินการก่อสร้างแล้วในลำดับต้นๆ คือ โครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 (คืบหน้า 73%, ข้อมูล ณ ธันวาคม 2566) และคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จตามแผนภายในปี 2570
o โครงการสำคัญในพื้นที่อื่นๆ ส่วนใหญ่เป็นโครงการลงทุนก่อสร้างเพื่อสนับสนุนศักยภาพด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ของไทย และเชื่อมโยงการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น โครงการรถไฟทางคู่ (ระยะที่ 1 และ 2) รถไฟความเร็วสูง โครงข่ายทางหลวงแผ่นดินทั่วประเทศ และโครงการพัฒนาศักยภาพท่าอากาศยานเพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายคมนาคมขนส่ง เป็นต้น (ตารางที่ 4) โดยโครงการใหม่ที่จะเริ่มก่อสร้างในปี 2567 และ 2568 คิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวม 3.9 แสนล้านบาท (จำนวน 31 โครงการ) และ 2.6 แสนล้านบาท (จำนวน 57 โครงการ) ตามลำดับ (กรุงเทพธุรกิจ, 31 มกราคม 2567)
• มูลค่าการลงทุนก่อสร้างภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ย 3.0-3.5% ต่อปี ในช่วงปี 2567-2569 ปัจจัยหนุนจาก
o โครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัย คาดว่าจะมีจำนวนเปิดขายใหม่จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เฉลี่ยปีละ 3.0-4.0% ในช่วงปี 2567-2569 หรือประมาณ 9.6 หมื่นยูนิตต่อปี (ภาพที่ 13) สำหรับโครงการในกรุงเทพฯ และปริมณฑล (BMR) และ 4.0-5.0% ต่อปี สำหรับโครงการใน 6 จังหวัดหลักภูมิภาค4/ แรงหนุนจากการขยายโครงข่ายการคมนาคมของภาครัฐ ทั้งโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายและมอเตอร์เวย์ที่เชื่อมต่อการเดินทางระหว่างชานเมืองสู่ตัวเมืองได้รวดเร็วขึ้น ส่วนการก่อสร้างคอนโดมิเนียมจะปรับดีขึ้นในบางพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ใจกลางเมืองและแนวรถไฟฟ้าบางเส้นทาง ซึ่งส่วนใหญ่จะเอื้อประโยชน์ต่อผู้รับเหมารายใหญ่ แม้จะมีปัจจัยเหนี่ยวรั้งที่ทำให้โครงการที่อยู่อาศัยบางโครงการล่าช้า ได้แก่ (1) ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินจากระดับหนี้ครัวเรือนที่ยังคงสูง บั่นทอนการฟื้นตัวของกำลังซื้อโดยรวม (2) อุปทานสะสมที่ยังค่อนข้างสูง และ (3) ต้นทุนก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะราคาวัสดุก่อสร้าง หนุนให้ราคาที่อยู่อาศัยปรับสูงขึ้น (บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LWS) ประเมินปี 2567 ราคาที่อยู่อาศัยในไทยมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 5-10%, ธันวาคม 2566) จากเหตุผลข้างต้น อาจส่งผลให้การลงทุนของผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์บางโครงการไม่ได้เป็นไปตามแผน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อรายได้และกำไรของผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างโดยเฉพาะรายเล็ก
o การก่อสร้างโรงงานและนิคมอุตสาหกรรมคาดว่าจะได้รับผลดีจากการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการ EEC ซึ่งผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมมีแผนลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมใหม่และพัฒนาที่ดินเพื่อขายและสร้างโรงงานอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการขยายตัวของการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายกลุ่ม S-Curve
o โครงการก่อสร้างอาคารเพื่อการพาณิชย์ แบ่งเป็น (1) การก่อสร้างพื้นที่ค้าปลีก (Retail space) มีแนวโน้มขยายตัวตามแผนการลงทุนของผู้พัฒนาโครงการ (ภาพที่ 14) เพื่อรองรับการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน และภาคการท่องเที่ยว ทั้งนี้ วิจัยกรุงศรีคาดว่าจะมีอุปทานพื้นที่ใหม่เข้าสู่ตลาดเฉลี่ย 3.7% ต่อปี และ (2) การก่อสร้างอาคารสำนักงาน (Office building) คาดว่าจะเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของการลงทุนในภาคธุรกิจ โดยวิจัยกรุงศรีประเมินอุปทานสำนักงานใหม่ใน BMR จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2.6% ต่อปี หรือประมาณ 8 แสนตารางเมตร
• ราคาวัสดุก่อสร้างในประเทศโดยรวมในปี 2567-2569 มีแนวโน้มขยับขึ้นเล็กน้อย (ภาพที่ 15) ตาม (1) อุปสงค์ในภาคก่อสร้างที่จะฟื้นตัวต่อเนื่อง (2) ต้นทุนวัตถุดิบนำเข้าที่อาจจะยังคงสูงตามทิศทางราคาในตลาดโลก อาทิ เศษเหล็ก (Scrap) เหล็กแท่งเล็ก (Billet) แม้ว่าอุปทานเหล็กนำเข้าจากจีนอาจทะลักเข้ามาจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้ราคาเหล็กกึ่งสำเร็จรูปและสำเร็จรูปในประเทศปรับลดลงบ้างเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และ (3) ต้นทุนพลังงานที่ทรงตัวสูงจากปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical risks) ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน และอิสราเอล-ฮามาส ที่น่าจะยืดเยื้อ
• การทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้านกลุ่ม CLM ซึ่งศักยภาพในการลงทุนส่วนใหญ่จะจำกัดอยู่ในกลุ่มผู้รับเหมารายใหญ่ เนื่องจากมีความพร้อมด้านเงินทุน ด้านเทคโนโลยีในการเพิ่มประสิทธิภาพงานก่อสร้างขั้นสูง และสายสัมพันธ์ทางธุรกิจ (Business connection) กับนักลงทุนท้องถิ่นที่เอื้อต่อการขยายช่องทางการลงทุน โดยผู้รับเหมาของไทยมีโอกาสรับงานเพิ่มขึ้นในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งคาดว่าจะมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่องรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและการขยายตัวของความเป็นเมือง (Urbanization) ซึ่งรวมถึงโรงงานอุตสาหกรรม อาคารสำนักงาน และที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม การรับงานก่อสร้างในประเทศเพื่อนบ้านยังมีปัจจัยเสี่ยงทางธุรกิจ ได้แก่ (1) ด้านกฎระเบียบในการว่าจ้างที่อาจไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล เงื่อนไขสัญญารับเหมาที่มีความไม่แน่นอน (2) ความไม่มั่นคงด้านเสถียรภาพทางการเมืองในบางประเทศ (3) การแข่งขันกับผู้รับเหมาต่างชาติรายอื่นๆ รวมถึงผู้รับเหมาในประเทศผู้ว่าจ้าง ซึ่งแนวทางในการลดความเสี่ยงข้างต้น ผู้รับเหมาไทยควรหาพันธมิตรทางธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานรับเหมาก่อสร้างในประเทศผู้ว่าจ้าง อาทิ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์/ผู้รับเหมาท้องถิ่น รวมถึงบริษัทจัดหาแรงงานท้องถิ่น เพื่อให้มีช่องทางในการรับงานได้ต่อเนื่อง
• ปัจจัยจำกัดการเติบโตทางธุรกิจ ได้แก่
o ภาวะขาดแคลนแรงงานก่อสร้าง เป็นผลกระทบต่อเนื่องจากวิกฤต COVID-19 มาถึงปัจจุบัน อีกทั้งยังต้องแย่งแรงงานจากภาคการผลิตและบริการอื่น (โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าว) อาจมีผลให้บางโครงการล่าช้า ส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้รับเหมาก่อสร้างโดยเฉพาะรายกลาง-เล็ก โดยข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และกระทรวงแรงงาน ระบุว่า ในปี 2565 ความต้องการแรงงานในสถานประกอบการสาขาการก่อสร้างมีจำนวน 1.32 ล้านคน แต่มีผู้มีงานทำสาขาก่อสร้างในระบบประกันสังคม 1.16 ล้านคน เท่านั้น (ตารางที่ 5)
o สต็อกที่อยู่อาศัยยังทรงตัวในระดับสูง (ภาพที่ 16) ขณะที่อุปทานใหม่ยังเข้ามาในตลาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้มูลค่าการลงทุนก่อสร้างที่อยู่อาศัยโครงการใหม่ๆ ของภาคเอกชนอาจมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ
• เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เป็นปัจจัยท้าทายทางธุรกิจ อุตสาหกรรมก่อสร้างเป็นอีกอุตสาหกรรมหนึ่งที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศจำนวนไม่น้อยและเพิ่มขึ้นทุกปีเช่นเดียวกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่น (ภาพที่ 17) การก่อสร้างอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Building)5/ จึงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามกระแส ESG (Environmental, Social and Governance) ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์สำคัญของโลกในปัจจุบัน ทั้งนี้ Precedence Research ประมาณการว่ามูลค่าตลาด Green Building ของโลกจะขยายตัวต่อเนื่องเฉลี่ยประมาณ 9.5% ต่อปี ในช่วงปี 2566-2571 (ภาพที่ 18) และการดำเนินการที่เกี่ยวกับอาคารสีเขียวทั่วโลกจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง (ภาพที่ 19)
ผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่จะเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการดำเนินการด้านเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้ก่อนผู้รับเหมากลุ่ม SMEs เนื่องจากมีความพร้อมทางด้านเงินทุนและเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ในการก่อสร้างเพื่อลดการใช้วัสดุก่อสร้างที่สิ้นเปลือง เพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินงานก่อสร้าง รวมถึงลดการใช้แรงงานจากการลงทุนใช้โดรนก่อสร้าง โดย Allied Market Research (ตุลาคม 2563) คาดว่ามูลค่าตลาดโลกของโดรนที่ใช้ในการก่อสร้างจะอยู่ที่ 4.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2562 และเพิ่มเป็น 11,968.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2570 หรือมีอัตราการเติบโตประมาณ 15.4% ต่อปี (CAGR) ในช่วงดังกล่าว นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีอื่นที่คาดว่าจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นในธุรกิจก่อสร้าง ได้แก่ 3D-Printing และการสร้างแบบจำลองข้อมูลอาคาร (Building Information Modeling: BIM) เป็นต้น
1/ ค่า K คือ ดัชนีที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของค่างาน ณ ระยะเวลาที่ผู้รับเหมาก่อสร้างเปิดซองประกวดราคา เปรียบเทียบกับระยะเวลาที่ส่งงานในแต่ละงวด เพื่อใช้สำหรับคำนวณเงินชดเชยค่าก่อสร้างให้กับผู้รับเหมา เพื่อลดผลกระทบด้านต้นทุนจากราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับสูงขึ้นในช่วงระหว่างการดำเนินโครงการก่อสร้าง (ที่มา: สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์)
2/ ได้แก่ 1) บมจ. คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) 2) บมจ. เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง 3) บมจ. ซีฟโก้ 4) บมจ. พรีบิลท์ 5) บมจ. ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น 6) บมจ. ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น 7) บมจ. เนาวรัตน์พัฒนาการ 😎 บมจ.
ช.การช่าง 9) บมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น 10) บมจ. อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ 11) บมจ. ไทยโพลีคอนส์ และ 12) บมจ. ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น
3/ คำนวณจากโครงสร้างต้นทุนของผู้ประกอบการรายใหญ่ และตารางปัจจัยการผลิต-ผลผลิต สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2558
4/ ได้แก่ 1) เชียงใหม่ 2) ชลบุรี 3) ระยอง 4) นครราชสีมา 5) ขอนแก่น และ 6) ภูเก็ต
5/ อาคารสีเขียว (Green building) มีส่วนช่วยในการประหยัดพลังงาน ประสิทธิภาพน้ำ การลดของเสีย การลดคาร์บอนไดออกไซด์ และการควบคุมมลพิษ
วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2567
วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2567
D - HOUSE GROUP ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ หรือ Business incubator
D - HOUSE GROUP ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ หรือ Business incubator สำหรับผู้เริ่มธุรกิจ Startup หรือ SME โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมผู้ประกอบการด้วยการวางรากฐานธุรกิจให้แก่ผู้เริ่มทำ Start up หรือเริ่มลงทุนธุรกิจ SME ตั้งแต่การอบรมแผนธุรกิจ พัฒนาไอเดียการทำธุรกิจ การวางแผนธุรกิจ การสร้างสินค้าต้นแบบ ไปจนถึงการวางแผนการระดมทุน Start up จากแหล่งทุนต่างๆ เพื่อให้ผู้เริ่มต้นธุรกิจมีศักยภาพในการพัฒนาธุรกิจอย่างเหมาะสม
ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ D - HOUSE GROUP มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จของธุรกิจ Start up ในประเทศไทย จึงตั้งใจทำหลักสูตรอบรมธุรกิจ เพื่ออบรมนักธุรกิจหน้าใหม่ให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการให้แนวทางในการพัฒนาสินค้าและบริการ รวมถึงการพัฒนาความรู้ ทักษะที่เป็นประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เริ่มธุรกิจทุกราย
ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ D - HOUSE GROUP ช่วยประเมินธุรกิจและวิเคราะห์แนวทางการดำเนินธุรกิจเพื่อดูโอกาสและความเป็นไปได้จัดอบรมแผนธุรกิจเพื่อให้ความรู้ และให้คำปรึกษาเพื่อการพัฒนาธุรกิจ โดยผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ รวมถึงการจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างให้ผู้ประกอบการยุคใหม่ ได้เรียนรู้ ทดลองและพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเรายังคอยให้คำปรึกษาการทำธุรกิจและมอบกลยุทธ์การค้าระหว่างประเทศ รวมถึงวางแผนการบริหารจัดการนวัตกรรมให้เป็นระบบ
เรามุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้เริ่มทำธุรกิจ เพื่อพัฒนาธุรกิจและส่งเสริมการค้าให้เข้าสู่ตลาดในประเทศและต่างประเทศได้อย่างยั่งยืน
โปรแกรมการบ่มเพาะธุรกิจ
กลุ่มธุรกิจเป้าหมายของศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ D - HOUSE GROUP จะมุ่งเน้นที่ 3 กลุ่มธุรกิจหลักคือ
1. กลุ่มธุรกิจอาหารสุขภาพ
กลุ่มธุรกิจสุขภาพ อย่างอาหารฟังก์ชั่น กำลังเป็นที่สนใจอย่างต่อเนื่อง เป็นอีกหนึ่งโอกาสสำหรับผู้เริ่มธุรกิจ SME ที่จะยกระดับมูลค่าทางธุรกิจให้สูงขึ้น อาหารฟังก์ชั่นหรือ Functional Foods คือ อาหารแห่งอนาคตที่มีคุณค่าทางโภชนาสูง ที่สามารถช่วยป้องกันโรคและรักษาโรคได้ด้วย แม้จะมีผู้ประกอบการในประเทศไทยได้เริ่มเข้ามาทำธุรกิจอาหารในอนาคตนี้หลายราย เพราะไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบันเริ่มมุ่งเน้นการดูแลรักษาสุขภาพกันมากขึ้น
2. กลุ่มธุรกิจการแพทย์
ความสนใจในธุรกิจด้านการแพทย์มีแนวโน้มเติบโตสูงมากขึ้นในปัจจุบัน และมีการพัฒนานวัตกรรมรวมถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ทางด้านการแพทย์ขึ้นมากมาย เช่น การให้บริการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล การแพทย์แม่นยำ การแพทย์ทางเลือก การใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรในการรักษา Genomic medicine และ Advance Medicine ในกลุ่ม ATMP (Advanced Therapy Medicinal Products) ที่ประกอบด้วย หรือ D - HOUSE GROUP และ มหาวิทยาลัยของ รัฐบาล เข้าร่วมโครงการ เป็นที่ปรึกษา การใช้ยีนหรือเซลล์บำบัด เช่น การบำบัดด้วย stem cell เป็นต้น Tissue Engineering และ Combined Therapy ซึ่งผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และการให้บริการทางการแพทย์เหล่านี้มีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อการรักษาโรคที่เกิดจากนวัตกรรมใหม่ๆ เป็นต้น ธุรกิจการแพทย์อย่าง คลินิกความงามหรือทันตกรรมมีอัตราการเติบโตขึ้นในแต่ละปีอย่างเห็นได้ชัด เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่สูงขึ้น อย่างต่อเนื่อง
3. กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเกษตร
ธุรกิจเกษตรอุสาหกรรมในประเทศไทย ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่สามารถพัฒนาให้มีศักยภาพแบบยั่งยืนได้ เพราะกว่า 40% ของคนไทยมีอาชีพเป็นเกษตรกรที่เชี่ยวชาญ และยังมีทรัพยากรภายในประเทศสำหรับการผลิตที่เพียงพอหากมีการส่งเสริมการค้าทางการเกษตร ก็ยิ่งจะทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวเข้าสู่ตลาดโลกได้มากขึ้น เพราะยิ่งจำนวนประชากรโลกสูงขึ้น ปริมาณความต้องการอาหารก็ยิ่งสูงขึ้นด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่ดีสำหรับผู้สนใจเริ่มธุรกิจ Startup ด้านนี้
ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ D - HOUSE GROUP ความเป็นมาของศูนย์
ระดมทุน startup เพื่อพัฒนาธุรกิจกับศูนย์บ่มเพาะธุรกิจประเทศไทย
D - HOUSE GROUP ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ หรือ Business incubator สำหรับผู้เริ่มธุรกิจ Startup หรือ SME โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมผู้ประกอบการด้วยการวางรากฐานธุรกิจให้แก่ผู้เริ่มทำ Start up หรือเริ่มลงทุนธุรกิจ SME ตั้งแต่การอบรมแผนธุรกิจ พัฒนาไอเดียการทำธุรกิจ การวางแผนธุรกิจ การสร้างสินค้าต้นแบบ ไปจนถึงการวางแผนการระดมทุน Start up จากแหล่งทุนต่างๆ เพื่อให้ผู้เริ่มต้นธุรกิจมีศักยภาพในการพัฒนาธุรกิจอย่างเหมาะสม
ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ D - HOUSE GROUP มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จของธุรกิจ Start up ในประเทศไทย จึงตั้งใจทำหลักสูตรอบรมธุรกิจ เพื่ออบรมนักธุรกิจหน้าใหม่ให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการให้แนวทางในการพัฒนาสินค้าและบริการ รวมถึงการพัฒนาความรู้ ทักษะที่เป็นประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เริ่มธุรกิจทุกราย
ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ D - HOUSE GROUP ช่วยประเมินธุรกิจและวิเคราะห์แนวทางการดำเนินธุรกิจเพื่อดูโอกาสและความเป็นไปได้จัดอบรมแผนธุรกิจเพื่อให้ความรู้ และให้คำปรึกษาเพื่อการพัฒนาธุรกิจ โดยผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ รวมถึงการจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างให้ผู้ประกอบการยุคใหม่ ได้เรียนรู้ ทดลองและพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเรายังคอยให้คำปรึกษาการทำธุรกิจและมอบกลยุทธ์การค้าระหว่างประเทศ รวมถึงวางแผนการบริหารจัดการนวัตกรรมให้เป็นระบบ
เรามุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้เริ่มทำธุรกิจ เพื่อพัฒนาธุรกิจและส่งเสริมการค้าให้เข้าสู่ตลาดในประเทศและต่างประเทศได้อย่างยั่งยืน
โปรแกรมการบ่มเพาะธุรกิจ
กลุ่มธุรกิจเป้าหมายของศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ D - HOUSE GROUP จะมุ่งเน้นที่ 3 กลุ่มธุรกิจหลักคือ
1. กลุ่มธุรกิจอาหารสุขภาพ
กลุ่มธุรกิจสุขภาพ อย่างอาหารฟังก์ชั่น กำลังเป็นที่สนใจอย่างต่อเนื่อง เป็นอีกหนึ่งโอกาสสำหรับผู้เริ่มธุรกิจ SME ที่จะยกระดับมูลค่าทางธุรกิจให้สูงขึ้น อาหารฟังก์ชั่นหรือ Functional Foods คือ อาหารแห่งอนาคตที่มีคุณค่าทางโภชนาสูง ที่สามารถช่วยป้องกันโรคและรักษาโรคได้ด้วย แม้จะมีผู้ประกอบการในประเทศไทยได้เริ่มเข้ามาทำธุรกิจอาหารในอนาคตนี้หลายราย เพราะไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบันเริ่มมุ่งเน้นการดูแลรักษาสุขภาพกันมากขึ้น
2. กลุ่มธุรกิจการแพทย์
ความสนใจในธุรกิจด้านการแพทย์มีแนวโน้มเติบโตสูงมากขึ้นในปัจจุบัน และมีการพัฒนานวัตกรรมรวมถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ทางด้านการแพทย์ขึ้นมากมาย เช่น การให้บริการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล การแพทย์แม่นยำ การแพทย์ทางเลือก การใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรในการรักษา Genomic medicine และ Advance Medicine ในกลุ่ม ATMP (Advanced Therapy Medicinal Products) ที่ประกอบด้วย หรือ D - HOUSE GROUP และ มหาวิทยาลัยของ รัฐบาล เข้าร่วมโครงการ เป็นที่ปรึกษา การใช้ยีนหรือเซลล์บำบัด เช่น การบำบัดด้วย stem cell เป็นต้น Tissue Engineering และ Combined Therapy ซึ่งผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และการให้บริการทางการแพทย์เหล่านี้มีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อการรักษาโรคที่เกิดจากนวัตกรรมใหม่ๆ เป็นต้น ธุรกิจการแพทย์อย่าง คลินิกความงามหรือทันตกรรมมีอัตราการเติบโตขึ้นในแต่ละปีอย่างเห็นได้ชัด เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่สูงขึ้น อย่างต่อเนื่อง
3. กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเกษตร
ธุรกิจเกษตรอุสาหกรรมในประเทศไทย ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่สามารถพัฒนาให้มีศักยภาพแบบยั่งยืนได้ เพราะกว่า 40% ของคนไทยมีอาชีพเป็นเกษตรกรที่เชี่ยวชาญ และยังมีทรัพยากรภายในประเทศสำหรับการผลิตที่เพียงพอหากมีการส่งเสริมการค้าทางการเกษตร ก็ยิ่งจะทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวเข้าสู่ตลาดโลกได้มากขึ้น เพราะยิ่งจำนวนประชากรโลกสูงขึ้น ปริมาณความต้องการอาหารก็ยิ่งสูงขึ้นด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่ดีสำหรับผู้สนใจเริ่มธุรกิจ Startup ด้านนี้
สำหรับหลักสูตรอบรมธุรกิจ SME เพื่อพัฒนาธุรกิจในระยะยาว จะมีเนื้อหาพื้นฐานครอบคลุมทั้งวิธีการบริหารธุรกิจและเครื่องมือที่ใช้สำหรับการจัดการธุรกิจ ซึ่งผู้เข้าอบรมจะได้พื้นฐานความรู้ ดังต่อไปนี้
1. แนวคิดการบริหารจัดการและการใช้เครื่องมือในการจัดการองค์กร
2. เทคโนโลยีการพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อเจาะตลาดเข้าสู่ตลาดโลก
3. กลยุทธ์การค้าระหว่างประเทศและการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ
4. การระดมทุน Start up และการบริหารเงินทุนสนับสนุน SME
5. การพัฒนานวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจและการจัดการทรัพย์สินทางปัญญา
ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ D - HOUSE GROUP เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังตั้งใจหรือวางแผนที่จะเริ่มธุรกิจใหม่ ด้วยทีมงานไม่กี่คน และมุ่งหวังให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืน เพราะสามารถช่วยส่งเสริมผู้ประกอบการใหม่ๆ ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการวิจัยทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมสู่ตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจยังมีส่วนในการขับเคลื่อนธุรกิจ SME ให้เติบโตขึ้นเป็นบริษัทได้อย่างเต็มรูปแบบ และส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศให้ยั่งยืนได้อีกด้วย
ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ D - HOUSE GROUP เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังตั้งใจหรือวางแผนที่จะเริ่มธุรกิจใหม่
PROBLEM SOLVING & DECISION MAKING : การแก้ปัญหาและการตัดสินใจ
D-HOUSE GRPUP D-House GROUP
1. การแก้ปัญหาและการตัดสินใจเป็นหน้าที่สำคัญของผู้บริหาร ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อมีความแตกต่างระหว่างสิ่งที่คาดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง การแก้ปัญหาเป็นการนำข้อมูลปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีตมาแก้ไขในปัจจุบัน และการตัดสินใจจะเกี่ยวข้องในขั้นตอนการเลือกแนวทางเพื่อแก้ปัญหา โดยขั้นตอนการแก้ปัญหาและการตัดสินใจประกอบด้วย
(1) การจำแนกและกำหนดปัญหา
(2) การวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา
(3) การหาทางเลือกในการแก้ปัญหา และ
(4) การเลือกวิธีแก้ปัญหา
2. การแก้ปัญหาที่ถูกต้องเริ่มจากการหาปัญหา และจำแนกปัญหาที่เกิดขึ้นโดยการรวบรวมข้อมูล ซึ่งปัญหาจำแนกได้ 3 ประเภท คือ
(1) ปัญหาประจำวัน
(2) ปัญหาวิกฤต และ
(3) ปัญหาที่เป็นโอกาส
ขั้นตอนสำคัญต่อมา คือ การกำหนดปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนและถูกต้อง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง
3. เมื่อกำหนดปัญหาที่เกิดขึ้นในสถานที่ทำงานได้ถูกต้องแล้ว ขั้นต่อมาคือ การวิเคราะห์หาสาเหตุที่แท้จริง และเป็นสาเหตุหลักของปัญหาดังกล่าว เครื่องมือสำคัญที่ช่วยในการตรวจหาสาเหตุ คือ ผังก้างปลา ส่วนเครื่องมือที่ช่วยเลือกสาเหตุหลัก คือ แผนภูมิพาเรโต และเครื่องมืออื่นๆ เมื่อได้สาเหตุหลักของปัญหาแล้วจึงนำมากำหนดเป็นวัตถุประสงค์ในการแก้ปัญหาที่ชัดเจนและถูกต้องตามหลักการกำหนดวัตถุประสงค์ที่ดี
4. ในขั้นตอนการหาทางเลือกในการแก้ปัญหา ซึ่งควรหาทางเลือกหลายๆ วิธี และสามารถใช้เทคนิคต่างๆ ช่วยในการหาทางเลือกใหม่ๆ โดยมี 2 แนวทางหลัก คือ การหาทางเลือกด้วยตนเอง โดยการใช้ความคิดสร้างสรรค์ และการหาทางเลือกโดยกลุ่ม ได้แก่ เทคนิคการระดมสมอง กลุ่มนามบัญญัติ และกลุ่มเดลฟาย การใช้เทคนิคเหล่านี้อย่างถูกวิธีจะทำให้ได้ทางเลือกที่หลากหลายและแปลกใหม่
5. ขั้นตอนสุดท้ายของการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ คือ การเลือกวิธีแก้ปัญหาที่ดีและเหมาะสมที่สุดจากทางเลือกที่มีอยู่ โดยสามารถใช้เทคนิคการให้คะแนนตามเกณฑ์ หรือเทคนิคอื่นๆ มาช่วยในการเลือกวิธีแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ความหมายและขั้นตอนการแก้ปัญหาและการตัดสินใจการแก้ปัญหาและการตัดสินใจเป็นหน้าที่สำคัญของผู้บริหาร การตัดสินใจที่ดีและมีคุณภาพของทุกคนในองค์การโดยเฉพาะผู้บริหาร จะมีผลต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวของหน่วยงานได้ ดังนั้น ความสามารถในการแก้ปัญหาและการตัดสินใจจึงเป็นคุณลักษณะที่สำคัญของทั้งพนักงานและผู้บริหารที่องค์การต้องการ ซึ่งทักษะการแก้ปัญหาและการตัดสินใจเป็นทักษะที่สามารถเรียนรู้ ฝึกฝนและพัฒนาได้
1. ความหมายของปัญหา การแก้ปัญหาและการตัดสินใจปัญหา (Problem) หมายถึง ช่องว่างหรือความแตกต่างระหว่างสภาพการณ์ปัจจุบัน กับ สภาพการณ์ที่เราต้องการให้เกิดขึ้น หรือสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
การแก้ปัญหา (Problem Solving) หมายถึง กระบวนการในการทำให้เกิดสภาพการณ์ที่เราคาดหวัง อย่างไรก็ตาม มีคนจำนวนไม่น้อยไม่รู้ว่าสิ่งที่คาดหวังคืออะไร รวมถึงบางครั้งก็ไม่สามารถไปถึงสิ่งที่คาดหวังหรือเป้าหมายได้ เพราะไม่มีแนวทางที่ชัดเจนหรือเหมาะสมในการแก้ปัญหา
การตัดสินใจ (Decision–making) หมายถึง กระบวนการในการตัดสินใจเลือกวิธีปฏิบัติจากทางเลือกที่มีอยู่ 2 ทางเลือกหรือมากกว่า เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นหรือเพื่อให้เกิดผลตามสิ่งที่มุ่งหวัง ซึ่งผลของการตัดสินใจของสมาชิกองค์การทุกคนล้วนมีผลกระทบต่องานที่ทำและต่อองค์การของตน
2. ความสัมพันธ์ระหว่างการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ เมื่อมีปัญหาเราต้องทำการตัดสินใจ เพราะปัญหาก่อให้เกิดโอกาสและทางเลือกต่างๆ ซึ่งต้องอาศัยการตัดสินใจว่าจะเลือกดำเนินไปทางไหน จึงจะเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด หรือเสียหายน้อยที่สุด
ดังนั้น ในกระบวนการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบต้องอาศัยกระบวนการวิเคราะห์ปัญหาและการตัดสินใจที่มีคุณภาพ จึงจะทำให้เราสามารถแก้ปัญหานั้นได้หรือสามารถบรรลุตามสิ่งที่มุ่งหวัง
3. ประเภทของปัญหาและการตัดสินใจภาระรับผิดชอบที่หลากหลายของผู้จัดการ ทำให้ผู้จัดการต้องเผชิญกับการตัดสินใจหลายประเภทแตกต่างกันไป โดยสามารถแบ่งประเภทของปัญหาและการตัดสินใจได้ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
3.1 ปัญหาที่มีโครงสร้างชัดเจนและการตัดสินใจแบบมีโปรแกรม (Well Structured Problem and Programmed Decisions)
ปัญหาประเภทที่มีลักษณะปัญหาตรงไปตรงมาและเป็นปัญหาที่คุ้นเคย เกิดขึ้นบ่อยๆ สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาได้ง่ายและมีข้อมูลครบถ้วน เรียกว่า ปัญหาที่มีโครงสร้างชัดเจน วัตถุประสงค์ในการตัดสินใจแก้ปัญหาของผู้ที่ทำหน้าที่ตัดสินใจจึงชัดเจน ตัวอย่างของปัญหาประเภทนี้ เช่น ลูกค้าลืมสิ่งของไว้ในห้องพักโรงแรม ซึ่งมักเกิดขึ้นบ่อย โรงแรมแต่ละแห่งจึงมักกำหนดขั้นตอนมาตรฐานในการแก้ปัญหาไว้อย่างชัดเจน ซึ่งมักเป็นวิธีการที่ใช้ได้ผลดี ขั้นตอนแก้ปัญหาที่สามารถกำหนดได้ล่วงหน้าชัดเจนเช่นนี้ จึงเรียกว่า การตัดสินใจแบบมีโปรแกรม ซึ่งช่วยให้ผู้ตัดสินใจไม่ต้องยุ่งยากหรือเสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายในการหาแนวทางตัดสินใจ และบ่อยครั้งที่ผู้บริหารสามารถมอบอำนาจการตัดสินใจให้พนักงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตัดสินใจเพื่อแก้ปัญหาได้เลย โดยผู้บริหารไม่ต้องไปจัดการด้วยตนเอง โดยยึดตามแนวทางที่ช่วยในการตัดสินใจ ได้แก่ ขั้นตอนการทำงาน กฎระเบียบ หรือนโยบาย
ขั้นตอนการทำงาน (Procedure) คือ ขั้นตอนดำเนินการที่เกี่ยวข้องต่อเนื่องกัน ที่ ผู้บริหารสามารถใช้ในการจัดการปัญหาที่มีโครงสร้าง สิ่งที่ยาก คือ การกำหนดปัญหา ถ้าปัญหานั้นมี ความชัดเจน ก็สามารถใช้ขั้นตอนการทำงานแก้ปัญหาได้ ปัจจุบันมักมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยในการตัดสินใจโดยอัตโนมัติ เช่น ระบบการจัดซื้อ การคำนวณค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา เป็นต้น กฎระเบียบ (Rule) คือ ข้อความที่ประกาศอย่างเป็นทางการขององค์การถึงสิ่งที่พนักงานรวมถึงผู้บริหารควรหรือไม่ควรกระทำในกรณีต่างๆ ดังนั้น ถ้าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นกรณีที่ระบุในกฎระเบียบแล้ว ผู้บริหารมักยึดแนวทางของกฎระเบียบในการตัดสินใจเพื่อความคงเส้นคงวาในการปฏิบัติ และความเป็นธรรม เช่น ระเบียบเกี่ยวกับการมาปฏิบัติงาน การมาทำงาน และการขาดงานของพนักงาน เป็นต้น นโยบาย (Policy) คือ ข้อความกว้างๆ ที่ให้แนวทางให้ผู้บริหารคิดในทิศทางที่องค์การต้องการ ซึ่งนโยบายจะชี้แนะถึงตัวแปรหรือปัจจัยที่ควรคำนึงสำหรับผู้ตัดสินใจ แต่การตัดสินใจยังคงขึ้นกับการใช้วิจารณญาณของผู้ตัดสินใจตามสมควร ซึ่งต่างจาก “กฎระเบียบ” ที่กำหนดด้วยข้อความที่เฉพาะเจาะจงถึงสิ่งที่ควรหรือไม่ควรกระทำ ตัวอย่างนโยบาย เช่น “ลูกค้าสำคัญเป็นอันดับแรกและต้องได้รับความพึงพอใจเสมอ” หรือ “อัตราค่าตอบแทนของพนักงานจะต้องสามารถแข่งขันได้ภายในท้องที่เดียวกัน” เป็นต้น
3.2 ปัญหาที่มีโครงสร้างไม่ชัดเจนและการตัดสินใจแบบไม่มีโปรแกรม (Ill–Structured Problem and Non-programmed Decisions)
ในสภาพความเป็นจริงของการทำงาน ผู้บริหารไม่อาจเผชิญแต่ปัญหาที่มีโครงสร้างชัดเจน บ่อยครั้งที่ผู้บริหารต้องพบกับปัญหาที่มีโครงสร้างไม่ชัดเจน กล่าวคือ เป็นปัญหาที่อาจไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหรือไม่ใช่ปัญหาปกติ ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหานั้นคลุมเครือหรือไม่สมบูรณ์ ตัวอย่างปัญหาประเภทนี้ เช่น ปัญหาการเลือกสถาปนิกเพื่อออกแบบอาคารสำนักงานบริษัทใหม่ ปัญหาว่าควรลงทุนในเทคโนโลยีใหม่หรือไม่ ปัญหาว่าควรยุบเลิกธุรกิจที่ขาดทุนหรือไม่ เป็นต้น เมื่อต้องเผชิญปัญหาที่มีโครงสร้างไม่ชัดเจนเช่นนี้ ผู้บริหารต้องใช้การตัดสินใจแบบไม่มีโปรแกรมเพื่อแก้ปัญหา โดยเป็นการตัดสินใจเฉพาะเรื่อง ที่ต้องอาศัยเทคนิคต่างๆ เพื่อช่วยให้การตัดสินใจนั้นเหมาะสมในสถานการณ์นั้นที่สุด
4. สภาวะหรือระดับของการตัดสินใจ (Decision–Making Conditions)ระดับของการตัดสินใจที่ผู้บริหารมักเผชิญในการทำการตัดสินใจ ได้แก่ การตัดสินใจภายใต้สภาวะความแน่นอน ความเสี่ยง และความไม่แน่นอน
4.1 การตัดสินใจในสภาวะความแน่นอน (Certainty)
ภายใต้สภาวะที่มีความแน่นอน ผู้บริหารสามารถทำการตัดสินใจได้อย่างถูกต้องเที่ยงตรง เพราะสามารถทราบผลลัพธ์ของแต่ละทางเลือกที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า ตัวอย่างเช่น การตัดสินใจในการลงทุนระหว่างฝากเงินในธนาคาร ซื้อพันธบัตรรัฐบาล หรือซื้อสลากออมสิน เราจะทราบผลตอบแทนของแต่ละทางเลือกแน่นอน แต่ในความเป็นจริงสภาวะความแน่นอนเช่นนี้ยากที่จะเกิดขึ้น
4.2 การตัดสินใจในสภาวะความเสี่ยง (Risk)
เป็นสถานการณ์ที่มักเกิดขึ้นในชีวิตจริง สภาวะความเสี่ยงหมายถึง ผู้ตัดสินใจไม่ทราบผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า แต่สามารถประมาณการโอกาสของผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นของแต่ละทางเลือกในการตัดสินใจ โดยการให้ค่าความน่าจะเป็นของแต่ละผลลัพธ์ โดยใช้ประสบการณ์ในอดีตหรือใช้ข้อมูลที่มีการรวบรวมไว้ ตัวอย่างเช่น การตัดสินใจลงทุน โดยการซื้อหุ้นของบริษัทชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์ ที่เราทราบข้อมูลมูลค่าหุ้นและอัตราเงินปันผลในอดีต เราสามารถหาความน่าจะเป็นและคาดการณ์ผลตอบแทนที่จะได้จากแต่ละบริษัทได้ แต่ผลตอบแทนดังกล่าวมีความเสี่ยงที่จะไม่เป็นไปตามที่เราคาดการณ์ได้ ซึ่งต่างจากกรณีแรก
4.3 การตัดสินใจในสภาวะความไม่แน่นอน (Uncertainty) เป็นสถานการณ์ที่ผู้ตัดสินใจไม่แน่ใจในผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นของแต่ละทางเลือก และไม่สามารถหาค่าความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้นของแต่ละทางเลือก เพราะข้อมูลที่มีเกี่ยวกับแต่ละทางเลือกมักมีจำกัด ซึ่งเป็นสภาวะการตัดสินใจที่ผู้บริหารมักต้องเผชิญในชีวิตจริง ตัวอย่างเช่น การตัดสินใจลงทุนซื้อหุ้นในบริษัทใหม่ 2 บริษัทที่เพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ กรณีนี้เราไม่มีข้อมูลในอดีตที่จะหาความน่าจะเป็นของผลตอบแทนของทั้งสองบริษัทได้ จึงเป็นการตัดสินใจในสภาวะที่มีความ ไม่แน่นอนในผลตอบแทนสูง
ผู้บริหารส่วนใหญ่มักต้องตัดสินใจภายใต้สภาวะความเสี่ยง สำหรับผู้บริหารระดับสูงมักต้องตัดสินใจภายใต้ความไม่แน่นอนมากกว่าผู้บริหารระดับล่าง ซึ่งเป็นการยากที่จะระบุทรัพยากรที่จะใช้ในการแก้ปัญหาได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เราไม่สามารถขจัดความเสี่ยงและความไม่แน่นอนในสถานการณ์ต่างๆ ที่ต้องตัดสินใจได้ แต่เราสามารถลดความเสี่ยงและความไม่แน่นอนนั้นได้
5. ขั้นตอนการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ (Problem Solving and Decision Making Process)เพื่อลดความเสี่ยงและความไม่แน่นอนของสภาวะการตัดสินใจ และช่วยให้เราสามารถแก้ปัญหาได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น การแก้ปัญหาและตัดสินใจตามขั้นตอนที่ถูกต้องเหมาะสม จะช่วยให้สามารถค้นหาทางออกที่ถูกต้องและเพิ่มโอกาสในการบรรลุสิ่งที่คาดหวัง โดยการดำเนินการตามขั้นตอนการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ ดังนี้
1) การจำแนกและกำหนดปัญหา (Classify and Define a Problem) ได้แก่ การวิเคราะห์ รวบรวมข้อมูล และทำความเข้าใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และกำหนดปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้องและชัดเจน รวมถึงระบุสภาพการณ์หรือเป้าหมายที่เราต้องการให้เกิดขึ้นหลังจากขจัดปัญหานั้นแล้ว
2) การวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา (Analysis of Causes of Problem ) ได้แก่ การใช้เทคนิคและวิธีการต่างๆ เช่น แผนภูมิก้างปลา แผนภูมิพาเรโต เพื่อช่วยวิเคราะห์สาเหตุที่เป็นไปได้ของปัญหา และช่วยในการเลือกเฉพาะสาเหตุที่สำคัญเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมและหาแนวทางแก้ไขต่อไป
3) การหาทางเลือกในการแก้ปัญหา (Develop Alternatives) ได้แก่ การระบุทางเลือกในการแก้ปัญหา ด้วยการใช้วิธีการต่างๆ เช่น การใช้ความคิดสร้างสรรค์ การระดมสมอง และวิธีอื่นๆ เพื่อหาวิธีแก้ปัญหาให้มากที่สุด และกลั่นกรองให้เหลือเฉพาะวิธีแก้ปัญหาที่มีประสิทธิผลจำนวนหนึ่ง
4) การเลือกวิธีแก้ปัญหา (Select an Alternative) ได้แก่ การกำหนดเกณฑ์หรือเงื่อนไขในการประเมินแต่ละทางเลือกในการแก้ปัญหา การวิเคราะห์เปรียบเทียบแต่ละทางเลือกและตัดสินใจเลือกทางเลือกในการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดหรือที่เหมาะสมที่สุด
5) การวางแผนการปฏิบัติและการนำไปปฏิบัติ (Plan and Implement the Decision) ได้แก่ การกำหนดแผนการนำวิธีการที่เลือกไปปฏิบัติและนำทางเลือกที่ตัดสินใจเลือกไปปฏิบัติอย่างเหมาะสม และมีการสื่อสารให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ
6) การประเมินผล (Evaluate the Decision) ได้แก่ การประเมินติดตามผลหลังจากนำทางเลือกไปปฏิบัติเป็นระยะๆ ว่าปัญหาได้รับการแก้ไขแล้วหรือไม่ มีอุปสรรคใดหรือไม่ และดำเนินมาตรการแก้ไขถ้าผลการดำเนินการไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
อนึ่ง การใช้กระบวนการแก้ปัญหาและการตัดสินใจดังกล่าว อาจไม่จำเป็นต้องดำเนินการเรียงลำดับทุกขั้นตอน โดยอาจข้ามบางขั้นตอนที่ชัดเจนแล้ว เช่น การกำหนดปัญหา หรือ อาจมีการกลับไปเปลี่ยนบางขั้นตอนก่อนหน้าเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปหรือมีข้อมูลเพิ่มขึ้น เช่น เพิ่มทางเลือกที่เป็นไปได้ กลับไปกำหนดปัญหาใหม่ให้ชัดเจนขึ้น เป็นต้น
สรุป ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อมีความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ต้องการกับสิ่งที่คาดหวัง การตัดสินใจเป็นการเลือกวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดเพื่อนำสู่สิ่งที่มุ่งหวัง ปัญหามีทั้งประเภทที่มีโครงสร้างชัดเจนและไม่ชัดเจน ถ้าโครงสร้างชัดเจนจะทำให้การตัดสินใจง่าย สามารถกำหนดแนวทางแก้ปัญหาเป็นขั้นตอนการปฏิบัติงาน กฎระเบียบ หรือนโยบายได้ แต่ถ้าปัญหามีโครงสร้างไม่ชัดเจนซึ่งมักเกิดขึ้นในชีวิตจริง ทำให้การตัดสินใจยากขึ้นเพราะมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนสูง จำเป็นต้องมีการตัดสินใจอย่างเป็นระบบโดยสามารถดำเนินการตามระบบการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ 6 ขั้นตอน ได้แก่ การจำแนกและกำหนดปัญหา การหาสาเหตุของปัญหา การหาทางเลือกในการแก้ปัญหา การเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด การวางแผนปฏิบัติตามทางเลือก และ การติดตามผล
ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ D - HOUSE GROUP ความเป็นมาของศูนย์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)